กรมศิลปากรรับมอบเงินสนับสนุนอนุรักษ์ประติมากรรมปูนปั้นวัดช้างรอบ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
วันที่ 7 ก.พ. 65 นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานรับมอบเงินสนับสนุนโครงการอนุรักษ์ประติมากรรมปูนปั้นวัดช้างรอบ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ระหว่างกรมศิลปากรและบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จำนวน 2 ล้านบาท โดยมีศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ นายอนันต์ ชูโชติ และนายนิติกร กรัยวิเชียร เป็นผู้แทนบริษัทไทยเบฟเวอเรจ ฯ เข้าร่วม ห้องประชุมชั้น 5 กรมศิลปากร (อาคารเทเวศร์)
นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า การรักษาสืบทอดมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ตลอดจนประชาชน การสนับสนุนงบประมาณในโครงการอนุรักษ์ประติมากรรมปูนปั้นวัดช้างรอบ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ ถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะเป็นพลังสำคัญในการร่วมกันขับเคลื่อนความสำเร็จของงานไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ ให้ยั่งยืนสืบไป
อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในฐานะแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีและศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งของจังหวัดกำแพงเพชร โดยโบราณสถานวัดช้างรอบ ตั้งอยู่นอกเมืองกำแพงเพชร ในพื้นที่เขตอรัญญิก มีเจดีย์ประธานเป็นศูนย์กลางของวัด ซึ่งคุณค่าความโดดเด่นของเจดีย์ประธานที่วัดช้างรอบแห่งนี้ คือ การประดับประติมากรรมช้างปูนปั้นรอบฐานเจดีย์ประธาน จำนวน 68 เชือก มีเทคนิคการสร้างด้วยการใช้ศิลาแลงเป็นโกลนด้านในแล้วพอกแต่งปูนให้เกิดความสวยงามบนผิวภายนอก ประติมากรรมช้างพบครึ่งตัว มีส่วนหัวและขาหน้ายื่นออกมาจากฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ลักษณะที่พิเศษคือ การทำปูนปั้นเป็นเครื่องประดับบนตัวช้าง เรียกว่า ช้างทรงเครื่อง พื้นที่ผนังที่คั่นระหว่างช้างแต่ละเชือกมีปูนปั้นนูนต่ำลายพันธุ์พฤกษาประดับโดยรอบ ขณะนี้ประติมากรรมรูปช้างและลวดลายปูนปั้นต่างๆ อยู่ในสภาพชำรุด เสี่ยงต่อการพังทลายในอนาคต จึงมีความจำเป็นต้องอนุรักษ์อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ กรมศิลปากร โดยอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย และกลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมประติมากรรม กองโบราณคดี จึงได้ร่วมกันจัดทำแนวทางการดำเนินงานอนุรักษ์ประติมากรรมรูปช้างและลวดลายปูนปั้นประดับวัดช้างรอบ โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2565 เพื่อให้โบราณสถานดังกล่าวซึ่งเป็นมรดกทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของชาติที่เป็นแหล่งมรดกโลกของไทยให้มั่นคงแข็งแรง สวยงามต่อไป
สำหรับแนวทางในการอนุรักษ์ จะมุ่งเน้นไปที่การทำความสะอาดคราบไคล สิ่งสกปรกและวัชพืชต่างๆ รวมถึงการเสริมความมั่นคงของศิลาแลง อิฐ ดินเผา ลวดลายประดับตกแต่ง ชั้นปูนฉาบและชั้นปูนปั้น เป็นหลัก โดยใช้วัสดุดั้งเดิมที่ใช้สำหรับการอนุรักษ์หรือวัสดุทดแทนที่ได้รับการยอมรับตามหลักสากล ไม่เป็นอันตรายต่อโบราณสถาน ไม่ทำให้พื้นผิวของวัสดุเปลี่ยนสภาพไป และไม่ปิดกั้นการระบายความชื้นภายในเนื้อวัสดุ ส่วนกรณีการปั้นซ่อมหรือเพิ่มเสริมให้ครบสมบูรณ์จะพิจารณาเฉพาะพื้นที่ที่จำเป็นเท่านั้น
เครดิตภาพ กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร